ภาพ : www.90min.com
สิ้นสุดกันไปเป็นที่เรียบร้อยเมื่อช่วงค่ำคืนวันที่ 27 พฤษภาคม 2560 ที่ผ่านมาสำหรับการลุ้นแชมป์ FA CUP โดยทีมที่ได้ชูถ้วยแชมป์รายการที่เก่าแก่ที่สุดของลีกเมืองผู้ดีและถือว่าเก่าแก่ที่สุดของโลกก็คือ ทีมปืนใหญ่อาร์เซน่อล ทีมยักษ์ใหญ่แห่งลอนดอนที่สามารถเฉือนเอาชนะคู่ชิงดีกรีแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาลล่าสุดอย่างเชลซีไปได้ด้วยผลการแข่งขัน 2 -1 คว้าถ้วยใหญ่ปิดท้ายรายการแข่งขันฟุตบอลของเกาะอังกฤษในปีนี้ไปครองและถือเป็นความสำเร็จเพียงรายการเดียวของอาร์เซน่อลสำหรับฤดูกาลนี้
ภาพ : https://www.thesun.co.uk/sport/football/
เส้นทางการคว้าแชมป์ FA CUP ครั้งที่ 136 ของอาร์เซน่อลนั้น เริ่มขึ้นจากการบุกไปเฉือนเอาชนะเพรสตัน นอร์ธ เอนด์ไปด้วยสกอร์เดียวกันกับนัดชิง 1-2 ต่อมาในช่วงที่เครื่องกำลังร้อนก็สามารถบุกไปถล่มกระสุนปืนใหญ่ใส่เซาแธมป์ตันได้ถึงถิ่นเซนต์แมรี่ส์ 0-5 ถัดจากนั้นก็บุกไปคว้าชัยชนะเหนือซัตตั้นยูไนเต็ดด้วยผลประตู 0-2 หลังจากนั้นในรอบก่อนรองชนะเลิศก็เปิดบ้านถล่มประตูทีมม้ามืดนอกลีกอย่างลินคอล์นซิตี้ไปแบบสุดมันส์ด้วยสกอร์ 5-0 ก่อนจะต้องมาพบกับสายแข็งร่วมลีกอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ในรอบรองชนะเลิศและต้องวัดพลังแข้งกันถึงช่วงต่อเวลาพิเศษโดยประตูชัยเกิดขึ้นในนาทีที่ 101 จากผลงานของอเล็กซิส ซานเชซ ส่งผลให้อาร์เซน่อลผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศกับเชลซีและคว้าแชมป์ไปได้ในที่สุดด้วยผลงานการทำประตูของอเล็กซิส ซานเชซ และแอรอน แรมซี่ย์
ในยุคก่อนหน้านี้ไม่นานนักเรามักคุ้นเคยกับการได้ยินแฟนบอลรวมถึงสื่อต่าง ๆ เรียกเหล่าบรรดาทีมบิ๊กเนมแห่งเกาะอังกฤษว่า “ท็อปโฟร์” (Top4) ซึ่งอาร์เซน่อลก็เป็นหนึ่งในสี่ทีมเต็งของลีกสูงสุดแห่งนี้เช่นกัน แต่ในปัจจุบันด้วยศักยภาพอันแข็งแกร่งของทีมร่วมลีกก็อาจทำให้อาร์เซน่อลไม่ใช่ทีมระดับท็อปโฟร์อีกต่อไป และเมื่อพิจารณากันต่อถึงอนาคตของอาร์แซน เวนเกอร์ที่แม้ว่าปีนี้จะพาทีมได้แชมป์ FA CUP มาครองได้สำเร็จ ถือเป็นการปิดท้ายฤดูกาลที่เรียกได้ว่า “ยังมีถ้วยติดไม้ติดมือกลับไปบ้าง” ก็ตาม แต่ด้วยการจบอันดับที่ 5 ในลีกซึ่งหมายถึงการพลาดคว้าตั๋วไปฟาดแข้งในเวทีใหญ่ของยุโรปนั้นนับว่าเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่สำหรับสโมสรและสร้างรอยช้ำแบบซ้ำ ๆ ย้ำอยู่ในใจของเหล่าแฟนบอลเดอะกันเนอร์ซึ่งแน่นอนว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้นสามารถสั่นคลอนเก้าอี้ของกุนซือชาวฝรั่งเศสผู้มีประวัติศาสตร์อันยาวนานกับสโมสรแห่งนี้ได้
ภาพ : https://www.thesun.co.uk/sport/football/
ทั้งนี้การถูกลดระดับไปเล่นฟุตบอลรายการยูโรป้าลีกเป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี ก็อาจเป็นการจำใจถอยหนึ่งก้าวเพื่อกลับไปทบทวนความผิดพลาดและแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นก่อนจะเดินต่อไปในอนาคตอย่างมั่นคงและกลับมาทวงความยิ่งใหญ่ในเวทียุโรปอีกครั้งก็เป็นได้ ซึ่งก็ต้องติดตามกันต่อไปว่าฤดูกาลหน้าเวนเกอร์จะยังคงรักษาตำแหน่งผู้คุมบังเหียนของสโมสรต่อไปได้อีกหรือไม่