ชีวประวัติชีวิตของพระเยซูซึ่งคือพระศาสดาเอกของศาสนาคริสต์นั้น เท่าที่เราได้ทราบหรือเรียนรู้ก็จะมีแค่ช่วงแรกที่พระนางมารีและยอเซฟต้องหนีกษัตริย์ที่ต้องการเอาชีวิตของพระกุมาร จึงไปเกิดในถ้ำเลี้ยงสัตว์ ปัจจุบันมีการเฉลิมฉลองกันอย่างยิ่งใหญ่ทั่วโลกในวันคริสต์มาส กับช่วงที่พระเยซูอายุ 30 ปี จนถึง 33 ปี ที่เป็นช่วงที่พระองค์ทรงเผยแผ่ศาสนาจนถึงถูกทรมานสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ช่วงระยะเวลาระหว่างนั้นคือประมาณอายุ 12 ปี จนถึงก่อนที่พระองค์จะเข้ารับพิธีล้างบาปกับนักบุญยอห์นที่แม่น้ำนั้น กลับไม่พบประวัติที่เป็นทางการอย่างการบันทึกในพระคัมภีร์ของพระองค์เลย
มีผู้พยายามค้นหาและอธิบายถึงช่วงปีที่สาบสูญไปของพระเยซูว่าพระองค์หายไปไหนหรือมีชีวิตอย่างไร ตั้งแต่ความเชื่อที่ว่าพระองค์ทรงใช้ชีวิตเรียบง่ายอยู่ในกาลิลี เป็นช่างไม้เหมือนกับยอเซฟพ่อของพระองค์ บางตำนานก็ว่าพระเยซูเดินทางไปที่อังกฤษ บางตำนานก็ว่าพระเยซูเดินทางไปที่แคว้นแคชเมียร์ มีทั้งที่เชื่อว่าพระเยซูเดินทางมาถึงทวีปเอเชียผ่านหลายประเทศ อิรัก อิหร่าน อัฟกานิสถาน ปากีสถาน มาจนถึงอินเดียเพื่อศึกษาศาสนา และเดินทางต่อไปยังทิเบตศึกษาธรรมะร่วมกับพระสงฆ์ที่นั่นอยู่หลายปีก่อนที่จะเดินทางกลับไปเพื่อประกาศศาสนาคริสต์ที่กรุงเยรูซาเล็ม
ทฤษฎีหรือตำนานเกี่ยวกับ Jesus Lost Years ที่โด่งดังเป็นของชาวรัสเซียชื่อ Nicolas Notovitch ที่เขาอ้างว่าได้เดินทางผ่านประเทศแถบตะวันออกกลาง ถึงอินเดีย จนมาถึงลาดัคและได้พบกับอารามแห่งหนึ่งที่เขาใช้เป็นที่พักฟื้นจากอาการบาดเจ็บจากขาหัก ที่นั่นเขาได้พบกับคัมภีร์โบราณที่เป็นภาษาทิเบต เขาได้คัดลอกออกมาและเมื่อนำไปแปลก็พบว่า เนื้อหาเกี่ยวข้องกับชายคนหนึ่งที่ชื่อ อิซา ที่เรารู้กันดีว่าเป็นชื่อเรียกพระเยซูในศาสนาอิสลามนั่นเอง ในบันทึกบอกไว้ว่า อิซาได้เดินทางมาศึกษาศิลปะวิทยาการต่าง ๆ ที่นี่ และเขาเชื่อว่านี่คือคำตอบของปริศนาเรื่องปีที่หายสาบสูญไปของพระเยซู จึงเดินทางกลับและไปตีพิมพ์หนังสือเพื่อบอกถึงเรื่องราวที่ตัวเองค้นพบ
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนจะเชื่อในเรื่องดังกล่าว เพราะมีข้อสงสัยถึงหลักฐานคัมภีร์เล่มที่ว่าไม่มีอยู่จริง ถึงกับมีคนเดินทางไปที่อารามดังกล่าวเพื่อสอบถาม ปรากฏว่าพระที่นั่นบอกว่าไม่เคยมีชาวยุโรปที่บาดเจ็บเดินทางมาเพื่อพักฟื้นที่นี่เลย และก็ปฏิเสธว่าไม่มีคัมภีร์ภาษาทิเบตเล่มที่ว่าด้วย จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีความเชื่อ ทฤษฎี หรือตำนานใดที่ได้รับการรับรองจากทางคริสตศาสนจักร ก็เลยเป็นอันว่าเรื่อง Jesus Lost Years หรือปีที่สาบสูญของพระเยซูนั้นก็ยังคงมีเงื่อนงำและเป็นปริศนาให้ต้องขบคิดกันต่อไป