ตามประเพณีของทางภาคเหนือการเผาศพจะมีหลายแบบ บางหมู่บ้านที่ยังไม่ค่อยเจริญยังคงใช้วิธีเผาศพแบบเดิม คือใช้เชิงตะกอนแทนเมรุเพราะงบยังมาไม่ถึง ส่วนวัดไหนที่เจริญหน่อยก็จะมีเมรุให้ แต่ที่วัดที่ผมมานี้ไม่มี
วันนี้คุณแม่ชวนผมไปงานศพเพื่อนคุณแม่ที่เสียชีวิตด้วยโรคประจำตัว ผมว่างเลยมีเวลาไปเป็นเพื่อนท่าน เมื่อไปถึงที่วัดเขากำลังทำพิธีเตรียมรดน้ำศพกันอยู่ สภาพศพของคุณป้าดูไม่ได้แตกต่างอะไรจากคนนอนหลับธรรมดา คุณป้าท่านนี้ดูแล้วก็ยังไม่น่าจะตายเพราะอายุก็เพียง 60 ปี เท่านั้น ขณะที่รดน้ำศพ ลูกๆของป้าก็มาร่วมรดน้ำศพด้วย แต่มีลูกของคุณป้า 2 คนที่แย่งกันรดน้ำศพ คือพี่สาวคนโตและลูกสาวคนที่ 2 ดูแล้วทั้งสองคนนี้น่าจะมีปัญหากันมาก่อน ต่างคนต่างอยากรดน้ำศพคุณป้าเป็นคนแรก แย่งขันรดน้ำจนขันนั้นตกไปที่ตัวของคุณป้า แล้วจู่ๆศพก็ลืมตาขึ้นมาครึ่งดวงเหมือนว่าเนื้อเยื้อมีการขยับ หน้าคุณป้าตอนนี้จากหน้าศพจากที่นอนธรรมดาตอนนี้มีสีหน้าที่คล้ำขึ้นมาทันที ลูกสาวทั้ง 2 คน ของคุณป้าเห็นก็ตกใจมาก ส่วนคนรอบข้างตรงนั้นต่างตกใจและพากันเงียบไปหมด แต่เหตุการณ์ก็ผ่านไป
เมื่อถึงวันเผาศพ ขณะที่นำศพขึ้นเผาบนเชิงตะก่อนแบบชาวบ้าน เราจะเห็นกองฟืนกองอยู่มากมาย ผมว่าเขาน่าจะเอามาทำเชิ้งเพลงแน่ๆ เมื่อไฟเริ่มติดไปได้สักครู่ศพที่กำลังมอดไหม้อยู่ก็ตั้งขึ้นเหมือนกับคนกำลังนั่ง ทำให้คนที่มางานศพต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์กัน ทำให้สัปเหร่อต้องกราบขอขมาศพแล้วนำเหล็กมาตัดเส้นเอ็นเพื่อให้ศพกลับสู่ท่านอนและให้ไฟติดได้ง่ายขึ้น เพื่อไม่ให้เป็นการอุจาดตาจนเกินไป
เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น ระหว่างที่ผมและแม่กำลังจะกลับบ้าน แม่ของผมก็เริ่มมีอาการแปลกๆท่านร้องไห้อย่างหนักและล้มลง แล้วคุณแม่ก็ลุกขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับตะโกนเสียง “อีเหี้ย มึงจะทะเลาะกันไปจนตายหรืออย่างไร สมบัติกูก็แบ่งเท่ากัน มึงกัดกันอย่างหมา นี้ขนาดศพกูยังไม่ไหม้มึงจะเอาอะไรกันอีก” แล้วแม่ผมก็เดินเข้าไปตบหน้าลูกสาวของคุณป้าทั้งสองอย่างแรง โดยที่ไม่มีใครห้าม “ถ้ามึงยังเป็นแบบนี้ กูจะกลับมาเอาสมบัติกูคืน จะไม่ให้พวกมึงแม้แต่แดงเดียว” แล้วแม่ของผมก็เป็นลมไปอีกครั้ง ลูกสาวของคุณป้าทั้งสองร้องไห้อย่างนัก ทำเอาคนในงานต่างก็ฮือฮากับสิ่งที่เกิดขึ้น ….
เมื่อแม่ผมฟื้น ผมก็รีบพาแม่กลับบ้านทันที... เรื่องสมบัตินี่ผมว่าเล็กน้อยก็ทำให้คนมีปัญหากันได้ อย่าง 2 คนพี่น้องคู่นี้