เรื่องนี้เกิดขึ้นกับรุ่นพี
่ของผมเอง เขาชื่อกานต์ เขาเล่าว่า ตอนที่เกิดเหตุการณ์นี้ เป็นช่วงที่มีโอกาสไปทำวิจั
ยเกี่ยวกับเรื่องมานุษยวิทย
า และต้องพักที่วัดวัดหนึ่ง โดยที่ทางวัด ได้เปิดหอไตรให้เป็นที่นอน ส่วนผู้หญิง ให้นอนกันที่ศาลาวัด หอไตรนั้นมีลักษณะเป็นเรือน
ไม้ 2 ชั้น ทำจากไม้สักทั้งหลัง ภายในก็มีตู้พระไตรปิฎกอยู่
หลายใบ ตามปกติของหอไตร ซึ่งทางวัดได้จัดห้องในสุดท
ี่เป็นห้องว่าง ไว้
สำหรับให้พี่กานต์ กับเพื่อนผู้ชายอีกคนหนึ่งนอนด้วยกัน
ระหว่างวันนั่นก็ไม่ได้มีอะไร พี่กานต์กับคณะก็ทำวิจัยอะไรกันไปตามปกติ จนถึงตอนมืดทุกคนก็ไปหาอะไรกินกัน เสร็จแล้วก็แยกย้ายกันไปนอนในที่ที่จัดไว้ให้ แต่ในวันนั้น เพื่อนที่นอนห้องเดียวกันกับพี่กานต์ ต้องไปธุระในเมือง กับผู้หญิงในคณะอีก 2-3 คน กว่าจะกลับก็ดึกๆ หน่อย นั่นหมายความว่า พี่กานต์ต้องนอนคนเดียวไปก่อน จริงๆ แล้วพี่กานต์ไม่ใช่คนที่กลัวผีอะไรเลย ก็เลยไม่สนใจเท่าไรนัก ใครจะไปก็ไป นอนคนเดียวก็ได้
พี่กานต์เล่าต่อว่า หลังจากนั้นก็เข้ามาที่ห้อง ตอนนั้นยังไม่ได้เปิดไฟ กะว่าจะมาเอาของ แล้วก็ไปอาบน้ำ เพราะข้าวของถูกรื้อออกมาแล้ว เลยไม่จำเป็นต้องใช้ไฟหาของ ทีนี้ ตอนเข้ามา สายตาเหลือบไปเห็นแจกันใบหนึ่ง มีฐานคล้ายๆกับฟักทอง แล้วก็มีหญ้า หรืออะไรสักอย่างปักอยู่ ตั้งอยู่บนโต๊ะในห้อง (พี่บอกว่า จริงๆ เห็นไม่ชัดหรอก เพราะไม่ได้เปิดไฟ อาศัยแสงจากข้างนอกที่สาดเข้ามาบ้าง ก็เห็นเป็นแบบเค้าโครงดำๆ ไม่ได้เห็นรายละเอียดจริงๆ) เขาก็คิดว่า เออ ดีแฮะ มีการตกแต่งห้องไว้ให้ด้วย แล้วเขาก็ไปอาบน้ำ พออาบน้ำเสร็จ ก็เข้านอนทันที เพราะพรุ่งนี้ต้องทำวิจัยต่อ
พอนอนไปได้ถึงสักประมาณตี 2 พี่กานต์ก็ต้องสะดุ้งตื่น เนื่องจากภายในห้องมีกลิ่นเหม็นแรงมาก เหมือนกับอะไรมาตายอยู่ พี่กานต์มองไปรอบๆ ห้อง แล้วก็สะดุดตากับแจกันใบเดิม แต่คราวนี้ มันมาตั้งอยู่ปลายเท้าของพี่กานต์ แต่สิ่งที่ทำให้พี่กานต์ตกใจมากกว่านั้น คือ แจกันใบนั้น มันลอยขึ้นเองได้ แล้วค่อยๆ ตรงเข้ามาหา จนกระทั่งมาหยุดอยู่ห่างจากหน้าพี่กานต์ประมาณ 1 ไม้บรรทัดได้ แล้วพอดีที่แสงจันทร์จากข้างนอกมันสาดเข้ามา ทำให้เห็นรายละเอียดต่างๆ ได้ชัดเจนอย่างไม่มีข้อสงสัยอีกต่อไป
มันไม่ใช่แจกัน แต่มันคือหัวคน หัวคนที่ถูกตัดมาแค่คอ สภาพดูแล้วน่าจะบวมอืดมาประมาณ 4-5 วัน สิ่งที่ชี้ขึ้นไปนั้นจริงๆ แล้วมันไม่ใช่หญ้า แต่มันคือเส้นผมที่กำลังจะย่อยสลาย เปียกชื้น เฟะได้ที่ ส่งกลิ่นเหม็นเน่าอย่างแรง
ก่อนที่พี่กานต์จะทำอะไรต่อไป หัวนั้นก็เปล่งเสียงหัวเราะ ฮิ ฮิ ฮิ
พี่กานต์สุดจะทนไหวแล้ว เขาร้องลั่น ก่อนจะวิ่งหนีออกจากหอไตรไปอย่างรวดเร็ว ตรงไปที่ศาลาการเปรียญ ตอนนั้นยังมีคนไม่นอน พี่ไปตะโกนร้องของนอนด้วย อย่างสติแตกไปแล้ว จนกระทั่งต้องมีคนบอกให้ใจเย็นๆ แล้วเล่ามาว่าเกิดอะไรขึ้น
พี่กานต์เล่าเรื่องทั้งหมดให้ทุกคนฟัง ทุกคนต่างพากันขนลุก แล้วก็อนุญาตให้พี่กานต์ย้ายมานอนรวมกับผู้หญิงที่ศาลาการเปรียญได้
มารู้ทีหลังว่า หอไตรนั้น สร้างบนพื้นที่ที่เคยเป็นที่ตัดหัวนักโทษ วันดีคืนดี ก็จะมีคนเจออะไรอย่างนี้แหละ
หลังจากย้ายที่นอนแล้ว พี่กานต์ก็ไม่เจอผีอีกเลย ตราบจนกระทั่งวิจัยเสร็จ แล้วกลับกรุงเทพฯ