เป็นข่าวใหญ่ครึกโครมกันไปทั่วสำหรับข่าวมัลแวร์เรียกค่าไถ่ที่มีชื่อว่า Wannacry ที่หากใครเจอเข้าก็มีอันต้องอยากจะร้องไห้จริงแน่ ๆ เพราะเมื่อไหร่ที่เจ้ามัลแวร์ตัวนี้มันเจาะเข้ามาที่เครื่องคอมพิวเตอร์ของเราได้แล้วล่ะก็ เรื่องเลวร้ายที่สุดก็จะเกิดขึ้นทันที
คือไฟล์ข้อมูลในคอมพิวเตอร์ทั้งหมดจะถูกล็อคไม่สามารถเข้าใช้งานได้และที่เรียกว่าเป็นมัลแวร์เรียกค่าไถ่ก็เพราะว่าเจ้าพวกแฮกเกอร์ตัวดีจะขอค่าไถ่เป็นเงินเพื่อแลกกับการปลดล็อครหัสให้เข้าใช้งานไฟล์ข้อมูลในคอมพิวเตอร์ได้ตามปกตินั่นเอง
ที่น่ากลัวเป็นที่สุดก็เพราะเจ้ามัลแวร์ตัวนี้ได้มีการคุกคามเข้าไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์จำนวนมากในหลายประเทศทั่วโลก ขณะนี้ Wannacry ได้เข้าจู่โจมระบบคอมพิวเตอร์ 57,000 ระบบ ใน 90 ประเทศทั่วโลก ทั้งประเทศรัสเซีย ยูเครน ไต้หวันและอีกหลายประเทศที่ตกเป็นเป้าโจมตีของกลุ่มแฮกเกอร์ รวมไปถึงหน่วยงานของรัฐบาลหลายแห่งก็โดนมัลแวร์ตัวนี้เล่นงานเช่นกัน ระบบคอมพิวเตอร์ที่โดนคุกคามจะถูกขู่บังคับให้จ่ายเงินประมาณ 300 – 600 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 20,000 บาท) เพื่อแลกกับการปลดล็อคข้อมูลในคอมพิวเตอร์ของตัวเอง จนหน่วยงานและบริษัทหลายแห่งถึงกับต้องให้พนักงานปิดการใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของมัลแวร์จนเกินความควบคุม
สำหรับการแพร่กระจายมัลแวร์ Wannacry นี้เชื่อว่ามันแฝงตัวมากับไฟล์ต่าง ๆ เมื่อผู้ใช้งานมีการคลิกเปิดหรือดาวน์โหลด มัลแวร์ก็จะเริ่มงานของมันทันทีด้วยการล็อคข้อมูลทำให้เจ้าของไฟล์นั้นไม่สามารถเข้าถึงไฟล์ข้อมูลต่าง ๆ ได้ ระบบปฏิบัติการที่ได้รับผลกระทบจากมัลแวร์ตัวนี้ก็คือ ระบบปฏิบัติการวินโดวส์
อย่างไรก็ตามทางบริษัท Microsoft ได้ออกมาให้คำแนะนำในเรื่องของการป้องกันคอมพิวเตอร์ไม่ให้ถูกโจมตีด้วยการอัพเดทซอฟท์แวร์ที่ใช้งานให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด ทำการติดตั้งหรืออัพเดทโปรแกรมแอนตี้ไวรัสรุ่นล่าสุด ไม่คลิกลิงค์หรือเปิดอีเมล์ที่ส่งจากบุคคลที่ไม่คุ้นเคยหรือจากองค์กรที่เราไม่เคยเกี่ยวข้องด้วย ..และที่สำคัญที่สุดก็คือให้สำรองไฟล์ข้อมูลที่สำคัญของเราเอาไว้เสมอ
ในส่วนของประเทศไทยเรานั้น รัฐบาลโดย พลโท สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกรัฐบาลได้ออกมาเตือนประชาชนที่ใช้งานระบบปฏิบัติการวินโดวส์ให้ระวังมัลแวร์นี้ด้วยการหลีกเลี่ยงการเปิดเอกสารแนบจากอีเมล์หากไม่จำเป็นและอัพเดทระบบปฏิบัติการให้เป็นปัจจุบัน อีกทั้งในระหว่างนี้ก็ควรเกาะติดสถานการณ์ความคืบหน้าของมัลแวร์ตัวนี้อย่างใกล้ชิดต่อไป
ธนาคารแห่งประเทศไทยเองล่าสุดก็ได้ออกมาเปิดเผยว่าได้มีการเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์เรื่องนี้อย่างใกล้ชิด โดย นางจันทวรรณ สุจริตกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายยุทธศาสตร์และความสัมพันธ์องค์กร ธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ทาง ธปท. รับทราบและติดตามข้อมูลเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด รวมถึงมีการประสานงานกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการป้องกันและเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่องต่อไป
ขอขอบคุณเครดิตภาพจาก
1.http://www.thairath.co.th/content/940152
2.http://www.thairath.co.th/content/941010