“ ผมอยู่ในชีวิตของนักเล่นหุ้นมา 30 กว่าปี เข้าตลาดหุ้นมาตั้งแต่ประมาณปี 2521 ตั้งแต่เป็นแมงเม่า จนกระทั่งวันนี้เป็นขาใหญ่บ้าง เสี่ยบ้าง ตามแต่ใครจะตั้งฉายาให้ ผมเป็นนักลงทุนที่อยู่ใต้ความเสี่ยงทุกประการ แต่จากประสบการณ์ที่สั่งสมมากว่า 30 ปี ในตลาดหุ้น ทำให้เรามีวิธีคิดที่เป็นรูปแบบของเราเอง จากที่เคยพลาดมาเยอะแล้ว เราก็เข้าใจวิธีบริหารความเสี่ยงของตัวเอง ”
ข้อความของประโยคข้างต้นคือเคล็ดลับการลงทุนของอดีตทนายดังที่ปัจจุบันคือเศรษฐีหุ้น วิชัย ทองแตง ซึ่งในปี2554 เขาถูกจัดอันดับเป็นเศรษฐีหุ้นไทยในอันดับที่ 4 ถือครองหุ้นรวมมูลค่า 11,804.14 ล้านบาท
ครั้นเมื่อถามรู้สึกอย่างไรกับการที่ได้รับให้เป็นเศรษฐีหุ้น วิชัยตอบว่าไม่ยินดียินร้ายกับตำแหน่งที่ได้รับ ก่อนขยายความคิดให้ฟังว่า เพราะเรื่องแบบนี้เป็นอะไรที่ไม่จีรังยั่งยืน และก็เป็นธรรดาหากปีไหนซื้อหุ้นมาก ก็มีหุ้นมากแล้วก็จะได้รับการจัดอันดับแต่หากไม่ได้ซื้ออะไรมากมายอันดับก็จะตกลง
หลักคิดสำคัญที่วิชัยมักพูดเสมอก็คือเรื่องตัวเลข ที่ต้องแม่น คาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตได้ดี และไม่เพียงเท่านั้น เขายังเผยกลเม็ดของการลงทุนเทกโอเวอร์ด้วยว่ามีหลักง่ายๆ เรื่องแรกต้องตรวจสอบปัญหาด้านการเงินว่าบริษัทนั้นๆมีปัญหามากน้อยขนาดไหน ปัญหาที่เกิดจากสถาบันการเงินเป็นอย่างไร ถัดมาต้องมาตรวจสอบด้านการบริหารจัดการว่าเป็นอย่างไร มีโอกาสหรืออะไรที่สามารถแก้ไขได้หรือไม่ และข้อสุดท้ายคือต้องดูว่าธุรกิจที่เข้าไปนั้นมีอนาคตหรือไม่
“ การเข้าไปแก้ปัญหาธุรกิจ อาจจะมีความผิดพลาดบ้าง แต่จะต้องคุมสติให้นิ่งไว้ อย่ารีบร้อน จะต้องทำความเข้าใจกับมัน หรือในเวลาที่เศรษฐกิจผันผวน ก็ไม่ต้องตื่นตระหนกเกินควร มองปัญหาอย่างมีสติ เพราะทุกอย่างมีทางแก้ ”
ปรัชญาในการทำธุรกิจของ วิชัย ทองแตง คือต้องกล้าคิดใหญ่แล้วไปให้ถึง ซึ่งธุรกิจบริการสุขภาพและเคเบิลของเขาล้วนแต่เป็นเบอร์ 1 ของประเทศฉะนั้นจึงมีการจับตาว่าเขาเตรียมจะโดดเข้าสู่ธุรกิจลอจิสติกส์-ท่อส่งน้ำมันครอบคลุมตลาดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
วิชัย เล่าถึงยุทธศาสตร์ในการทำธุรกิจอันดับแรกคือ ซื้อของเน่าแต่เห็นว่ามีอนาคตมาบริหารจัดการใหม่ให้กลายเป็นธุรกิจที่ดี เขาเรียกว่าของถูกที่มีอนาคต ยิ่งไปกว่านั้นเป้าหมายสำคัญของการทำธุรกิจจะต้องมีปลายทางของทุกธุรกิจที่จะนำเข้าระดมทุนในตลาดหุ้นได้ และทุกธุรกิจต้องมีมูลค่าตามราคาตลาดโดยรวมของหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ในระดับ1หมื่นล้านบาทขึ้นไป
“ ผมจะไม่ละทิ้งสไตล์การทำธุรกิจของผม เพราะผมถนัดเลือกธุรกิจดีแต่อ่อนแอ เข้าไปช่วยแก้ไขพลิกฟื้นสถานการณ์ให้ธุรกิจนั้นๆกลับมายืนอยู่ได้อย่างมั่นคงและเติบโตต่อไป ” นี่คือปรัชญาและโมเดลในการทำธุรกิจของวิชัย ที่เป็นแบบคิดใหญ่ ไม่คิดเล็กและต้องเป็นคิดใหญ่แบบที่ได้ประโยชน์กลับมาสูงสุด มองเห็นอนาคตแบบยั่งยืน ทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในแทบทุกธุรกิจที่โดดเข้าไปและประสบความสำเร็จอย่างชัดเจน
หากย้อนดูการลงทุนในตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ปี 2554-2557 พบว่าวิชัย กลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นอย่างเปิดเผย และส่วนใหญ่จะเข้ามาในลักษณะของการรับซื้อหุ้นแบบเฉพาะเจาะจง ในราคาต่ำกว่าราคาในกระดาน เขาเคยบอกว่า หลักการลงทุนของเขาจะไม่ชื่นชอบการลงทุนในลักษณะที่เป็นศัตรูกับบริษัทที่จะเข้าไปลงทุน การเข้าไปร่วมธุรกิจ เจ้าของจะต้องเปิดใจ
การผันตัวจากทนายความมาสู่การเป็นนักลงทุนของวิชัย จนได้ฉายาพ่อมดตลาดหุ้น หลังจากได้ทำการเข้าไปลงทุนในหลายบริษัท และหลากหลายธุรกิจ สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ ทำให้ล่าสุดในปี 2558 ชื่อของเขาติดทำเนียบมหาเศรษฐีไทยในอันดับที่ 13 ด้วยมูลค่าทรัพย์สิน 5.07 หมื่นล้านบาท
วิชัย ได้ก้าวเข้าสู่ธุรกิจเพย์ทีวี ในนามของ CTH หรือบริษัท เคเบิ้ล ไทย โฮลดิ้ง สร้างความฮือฮาด้วยการชนะการประมูลลิขสิทธิ์ถ่ายทอดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกของอังกฤษ และเป้าหมายของ CTH ในเวลานั้นยังต้องการผนึกเครือข่ายเคเบิลท้องถิ่น เป็นตัวกลางในการจัดหาคอนเท้นท์ทั้งในและต่างประเทศ ป้อนให้กับเคเบิลท้องถิ่น ให้แข่งขันกับรายใหญ่อย่างทรูวิชั่นส์แต่โปรเจคส์ไปไม่ถึงฝั่งฝัน
ล่าสุดวิชัยจับมือกับนักธุรกิจทุกภูมิภาคเชื่อมเครือข่ายธุรกิจทั้งประเทศ จัดตั้งบริษัท ลิงค์ เน็ตเวิร์ค โดยมีคอนเซ็ปต์โมเดลที่คล้ายคลึงกับการสร้างเครือข่าย คล้ายกับโมเดลการทำ Consolidate ที่ผ่านมา คือรวมพันธมิตรนักธุรกิจแต่ละภูมิภาคสร้างอำนาจกับผู้ค้ารายใหญ่ในตลาด โดยอาศัยช่องทางร้านค้าโชว์ห่วยเป็นหลักในการขายสินค้า
ลิงค์ เน็ตเวิร์ค จะทำหน้าที่เป็นบริษัทแม่ในการกำหนดนโยบายและช่วยกระจายสินค้า โดยจะมีผู้ดูแลประจำ 5 ภูมิภาคกระจายสินค้าไปสู่ร้านค้าทั่วทั้งจังหวัด ช่วงแรกจัดจำหน่ายสินค้าและบริการใน 6 กลุ่ม ได้แก่ 1.สินค้าอุปโภคบริโภค 2.สินค้าเครื่องใช้ในบ้าน 3.มือถือและอุปกรณ์สื่อสาร 4.ทีวีและอินเตอร์เน็ต 5.บริการทางการเงิน และ 6.สินค้า SME และสินค้าประจำท้องถิ่น
ในปัจจุบันมีช่องทางการขายผ่านร้านโชว์ห่วยอยู่แล้วกว่า 150,000 ร้านค้า และตั้งเป้าจะเพิ่มเป็น 300,000 ร้านค้าในปี2559 ซึ่งวิชัยบอกว่าการรวมตัวกันครั้งนี้เป็นแนวคิดที่เห็นจากสภาพตลาด และการแข่งขันในปัจจุบัน การรวมตัวกันจะก่อให้เกิดพลังเพิ่มความแข็งแกร่ง ลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายได้มากและเพิ่มกำไรได้อีก
“ ดูจากรายได้ของ 28 รายรวมกันมีมูลค่าสูงถึง 20,000 ล้านบาท แต่หลังรวมกันเป็น ลิงค์ เน็ตเวิร์คภายในปี 2559 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 40,000 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 3 เฟส หนึ่งสร้างเครือข่ายให้แข็งแกร่ง สองเตรียมพร้อมเข้าตลาดหลักทรัพย์ และเฟสที่สามสร้างมูลค่าเพิ่มให้เครือข่ายรองรับตลาดอาเซียน ” นี่คืออีกหนึ่งความคิดใหญ่ๆของอดีตทนายที่แปลงร่างมาเป็นพ่อมดตลาดหุ้น ซึ่งต้องติดตามต่อว่าจะไปถึงหรือไม่??? อีกไม่กี่ก้าวอึดใจเดี๋ยวก็รู้!!!
ที่มาของรูปภาพ : matichon.co.th
อยากมีบทความดี ๆ แบบนี้ สั่งซื้อเลย รับเขียนบทความ 1000content.com