เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2560 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ พ.ร.ก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว ปี 2560 โดยเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 23 มิถุนายน 2560 ในกรณีที่นายจ้างไม่มีใบอนุญาตทำงานที่ระบุว่าห้ามคนต่างด้าวทำงานจะต้องโทษสูงสุดปรับถึง 8 แสนบาทต่อแรงงานต่างด้าว 1 คน หรือหากมีการหลอกลวงแรงงานต่างด้าวเข้ามาทำงานในประเทศจะต้องโทษจำคุกสูงสุดถึง 10 ปี พร้อมปรับ 1 ล้านบาท กฎหมายฉบับใหม่นี้เป็นการปรับปรุงนำกฎหมายการทำงานของแรงงานต่างด้าว ปี 2551 และกฎหมายการนำคนต่างด้าวเข้ามาทำงานในประเทศ ปี 2559 โดยมุ่งเน้นไปที่เรื่องการคุ้มครอง การทำงาน และนำเข้าแรงงานต่างด้าว เพื่อเป็นการร่วมป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์ในด้านแรงงาน
โดยทางกฎหมายแล้ว คนต่างด้าวหมายถึง บุคคลธรรมดาซึ่งไม่มีสัญชาติไทย ดังนั้นหากนายจ้างและแรงงานต่างด้าวฝ่าฝืนเข้ามาทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตหรือทำงานไม่ถูกต้องตามประเภทที่กฎหมายกำหนดตัวลูกจ้างต่างด้าวเองก็จะต้องได้รับโทษด้วยเช่นกัน คือจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับตั้งแต่ 2,000-100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เพราะกฎหมายได้ระบุไว้อยู่แล้วว่าหากมีการเข้ามาทำงานของแรงงานต่างด้าวต้องได้รับอนุญาตตามมาตรา 9, มาตรา 11 และมาตรา 13 (ระบุประเภททั่วไปและประเภทตลอดชีพ) มาตรา 14 ให้ทำงานตามที่กำหนดในกฎกระทรวงที่ออกตามความในมาตรา 15 ซึ่งในปี 2522 ได้มีการกำหนดอาชีพและวิชาชีพที่แรงงานต่างด้าวสามารถเข้ามาปฏิบัติงานได้ รวมทั้งสิ้น 39 งาน
ในปัจจุบันจะเห็นได้ว่าในประเทศไทยมีแรงงานต่างด้าวหลากหลายสัญชาติเข้ามาทำงานในหลาย ๆ อาชีพ เหตุผลของการจ้างแรงงานต่างด้าวส่วนหนึ่งนั้นอาจจะมาจากค่าจ้างแรงงานที่ถูกกว่าคนไทย และงานบางประเภทที่คนไทยส่วนใหญ่ไม่นิยมทำการ อย่างเช่น ลูกจ้างตามตลาดค้าส่งออก เข็นสินค้า ลูกจ้างร้านอาหาร และการทำงานที่ใช้แรงงานโดยตรง แต่การเข้ามาทำงานตามที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นแล้วว่าทั้งนายจ้างและลูกจ้างจะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามข้อกำหนดของกฎหมายทุกประการ หากบุคคลใดฝ่าฝืนจะต้องได้รับโทษตามที่กฎหมายกำหนด หากมองในอีกแง่มุมหนึ่ง การที่คนไทยเองก็ดี หรือแรงงานต่างด้าวเองก็ดีในการออกไปทำงานนอกราชอาราจักรหากปฏิบัติไม่ถูกต้องย่อมมีผลกระทบในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในเรื่องการได้รับการคุ้มครองทางกฎหมาย หรือแม้แต่ความปลอดภัยในด้านของการทำงาน จากที่เห็นในข่าวที่มากมายในปัจจุบันในเรื่องของการลักลอบเข้าไปทำงานในประเทศต่าง ๆ นอกจากจะสร้างความเดือดร้อนให้ตัวเองแล้ว ยังส่งผลไปถึงในเรื่องชื่อเสียงและรวมไปถึงความน่าเชื่อถือของประเทศเราอีกด้วย
ขอบคุณเครดิตภาพจาก
ภาพที่ 1 : http://chaoprayanews.com
ภาพที่ 2 : http://www.manager.co.th