ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือโควิด-19 เป็นโรคอุบัติใหม่ที่พบผู้ติดเชื้อครั้งแรกจากตลาดค้าสัตว์ป่า เมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย ประเทศจีน ต่อมาการติดเชื้อและเสียชีวิตแพร่กระจายไปทุกพื้นที่ทั่วโลก ภาวะวิกฤตสุขภาพจากโควิดก่อความเสียหายทางเศรษฐกิจ ปัญหาว่างงาน กระทบต่อชีวิตผู้คนทุกด้านอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน การกลายพันธุ์ของโควิดทำให้เชื้อแพร่กระจายเร็วและง่ายขึ้น ทั้งยังส่งผลให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลงด้วย การติดตามไวรัสกลายพันธุ์มีส่วนสำคัญในการสกัดการแพร่ระบาดระลอกใหม่
ไวรัสโคโรนาหรือโควิด-19 คืออะไร ?
โรคติดเชื้อโควิด-19 ย่อมาจาก “Corona Virus Disease 2019” เป็นชื่อที่องค์การอนามัยโลกตั้งขึ้นทำให้โลกได้รู้จักไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เป็นครั้งแรก มีรายงานว่าพบผู้ติดเชื้อที่เมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย ประเทศจีน ตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 2019 คาดว่าต้นตอมาจากเชื้อไวรัสโคโรนาในค้างคาวที่พบในประเทศจีนและเกิดการกลายพันธุ์เป็นเชื้อก่อโรคไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือ SARV-CoV-2 ก่อนแพร่เชื้อสู่คน ต่อมาองค์การอนามัยโลกได้ประกาศภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขระหว่างประเทศ เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2020 และประกาศเป็นโรคระบาดที่แพร่กระจายทั่วโลกในเดือนมีนาคมปีเดียวกัน
การแพร่กระจายเชื้อทางอากาศติดต่อกันจากสารคัดหลั่งที่ออกมาทางปาก เช่น การไอ ไอมีเสมหะ การจาม ผู้ใกล้ชิดผู้ป่วยจะติดเชื้อจากการหายใจสูดฝอยละอองในอากาศเข้าไปในทางเดินหายใจ การรับประทานอาหารร่วมกัน หรือการติดเชื้อจากการสัมผัสจับของใช้ร่วมกัน
ย้อนรอยจุดเริ่มต้นโรคโควิด-19 สายพันธุ์อู่ฮั่น
รายงานโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่พบครั้งแรกในเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย ประเทศจีน โดยสืบพบว่าผู้ป่วยติดเชื้อรายแรกไปตลาดค้าอาหารทะเลและสัตว์ป่าท้องถิ่นที่เมืองอู่ฮั่น จึงสันนิษฐานว่าเป็นต้นตอการแพร่ระบาด หลังจากนั้นการแพร่ระบาดขยายวงกว้าง จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นจนหยุดไม่อยู่ รัฐบาลจีนประกาศล็อกดาวน์เมืองอู่ฮั่นเพื่อควบคุมโรคระบาดทันที อย่างไรก็ดีมีข้อสันนิษฐานอีกแง่มุมหนึ่งสงสัยว่าเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่อาจมาจากที่อื่น เนื่องจากพบผู้ป่วยอาการคล้ายโควิดในอิตาลีและสเปนก่อนหน้าพบผู้ป่วยในอู่ฮั่นราว 2 เดือน แต่ข้อสงสัยนี้ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ยืนยัน
อัปเดตการกลายพันธุ์ของโควิด-19
เชื้อไวรัสเป็นสิ่งมีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงและกลายพันธุ์อยู่ตลอดเวลา นับตั้งแต่ค้นพบเชื้อโควิดสายพันธุ์ดั้งเดิมครั้งแรกในเมืองอู่ฮั่นช่วงปลายปี 2019 ไวรัสโควิด-19 เกิดการกลายพันธุ์หลายพันครั้ง ส่งผลให้เกิดการติดต่อกันง่ายขึ้น อาการเจ็บป่วยที่รุนแรงหรือเป็นอันตรายมากขึ้น ทำให้ภูมิคุ้มกันลดลงและดื้อวัคซีน
ทั้งนี้ไวรัสโควิดสายพันธุ์ดั้งเดิมในเมืองอู่ฮั่น เริ่มเข้ามาระบาดในไทยตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2563 อาการของผู้ติดเชื้อ คือ มีไข้ ไอแห้ง อ่อนเพลีย แน่นหน้าอก หายใจลำบาก การพูดและเคลื่อนไหวติดขัด ต่อมามีสายพันธุ์เกิดใหม่มากมาย ซึ่งมีจำนวน 4 สายพันธุ์ที่น่ากังวล ได้แก่ อัลฟา, เบตา, แกมมา และเดลตา มาทำความรู้จักกับทั้ง 4 สายพันธุ์นี้กัน
1.อัลฟา (Alpha) พบครั้งแรกในอังกฤษ เป็นสายพันธุ์ที่แพร่กระจายเชื้อง่ายกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิม 40%-70% ถือเป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดในประเทศไทยในช่วงแรก มีไข้ ไอและจามแรง เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามร่างกาย หายใจไม่ออก การรับรสหรือกลิ่นผิดปกติ อาการของผู้ติดเชื้อมีไข้ 37.5 องศาเซลเซียสขึ้นไป เจ็บคอ หายใจหอบเหนื่อย ปวดหัวและปวดเมื่อยตามร่างกาย การรับรสหรือกลิ่นผิดปกติ
2.เบตา (Beta) พบครั้งแรกในแอฟริกาใต้ เข้ามาแพร่ระบาดครั้งแรกทางภาคใต้ของประเทศไทย การแพร่กระจายเชื้อไม่เร็วเท่าสายพันธุ์เดลต้าและอัลฟ่า แต่เป็นอันตราย อาการป่วยรุนแรง ดื้อวัคซีน มีเปอร์เซ็นต์เสียชีวิตมากกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิม ผู้ติดเชื้อมีอาการเจ็บคอ ปวดหัวและปวดเมื่อยตามร่างกาย ท้องเสีย ตาแดง การรับรสหรือกลิ่นผิดปกติ มีผื่นขึ้นบริเวณผิวหนัง นิ้วมือนิ้วเท้าเปลี่ยนสี
3.แกมมา (Gamma) พบครั้งแรกในบราซิล อาการของผู้ติดเชื้อรุนแรงกว่าสายพันธุ์อื่น มีไข้ ไอและจามแรง เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามร่างกาย หายใจไม่ออก การรับรสหรือกลิ่นผิดปกติ เมื่อติดเชื้อแล้วภูมิคุ้มกันลดลงและมีโอกาสติดเชื้อซ้ำได้ ฉีดวัคซีนแล้วก็ยังติดเชื้อได้
4.เดลตา (Delta) พบครั้งแรกในอินเดีย สถานการณ์ล่าสุดกำลังระบาดในประเทศไทย จังหวัดที่พบการแพร่ระบาดหนักที่สุดคือกรุงเทพฯ ผู้ติดเชื้อมีอาการคล้ายเป็นหวัด ปวดหัว เจ็บคอ มีน้ำมูก ไม่ค่อยพบการสูญเสียการรับรส เมื่อติดเชื้อแล้วภูมิคุ้มกันลดลงและเกิดปอดอักเสบเร็วกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิม อาการทรุดภายใน 3-5 วัน หากผู้ติดเชื้ออายุน้อยและอยู่ในระยะแพร่เชื้อมักไม่แสดงอาการ ถือเป็นภัยคุกคามมากกว่าสายพันธุ์อื่น ๆ เพราะมีอัตราการแพร่เชื้อเร็วกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิมและอัลฟาราว 50%-60%
ภายหลังมีเชื้อสายพันธุ์ใหม่ชื่อว่า ‘เดลตาพลัส’ ที่กลายพันธุ์มาจากเดลต้าและกำลังแพร่ระบาดในอินเดียและอีกหลายประเทศ ได้แก่ สหรัฐฯ, อังกฤษ, สวิตเซอร์แลนด์, ญี่ปุ่น, จีน, โปรตุเกส, โปแลนด์, เนปาลและรัสเซีย แม้ยังไม่มีข้อมูลมากพอว่ามีความรุนแรง ติดเชื้อง่าย หรืออันตรายกว่าสายพันธุ์เดลตาดั้งเดิม แต่ ‘เดลตาพลัส’ เป็นสายพันธุ์ที่น่ากังวล นักวิทยาศาสตร์จึงจับตามองและหาทางรับมือให้ดีกว่าสายพันธุ์เดิม
นอกจากนี้องค์การอนามัยโลกยกระดับไวรัสโควิด “สายพันธุ์ที่ควรสนใจ” 5 ชนิด
สำหรับเชื้อที่เริ่มมีการแพร่ระบาดในหลายประเทศคือสายพันธุ์มิว (Mu) ซึ่งแพร่ระบาดไม่น้อยกว่า 43 ประเทศทั่วโลก โดยพบครั้งแรกในประเทศโคลอมเบีย จำนวนผู้ติดเชื้อสะสมทะลุเพดาน 5 ล้านคน ขณะที่มิวกำลังเป็นสายพันธุ์หลักในโคลอมเบียยังมีการแพร่ระบาดไปเกือบทุกรัฐในสหรัฐอเมริกาอีกด้วย สิ่งที่น่าวิตกกังวลคือเชื้อโรควิดตัวนี้ดื้อวัคซีนคล้ายกับสายพันธุ์เบตา และยังถูกสันนิษฐานว่าติดเชื้อง่ายคล้ายกับสายพันธุ์เดลตาแต่ยังขาดหลักฐานยืนยันที่แน่ชัด
ระยะฟักตัวและอาการเมื่อติดเชื้อ
ระยะฟักตัวโควิด เริ่มตั้งแต่หลังได้รับเชื้อจนถึงเริ่มมีอาการ ระยะฟักตัวแต่ละคนอาจต่างกัน สามารถแพร่เชื้อช่วงเวลา 2-3 วันก่อนเริ่มแสดงอาการ โดยค่าเฉลี่ยระยะฟักตัวประมาณ 3-5 วัน ส่วนใหญ่มักมีอาการหลังรับเชื้อมาแล้ว 11-12 วัน หรือแสดงอาการหลังจากผ่านไป 14 วัน จึงเป็นช่วงเวลาที่แพทย์ใช้คาดการณ์จำนวนวันในการกักตัวทันทีอย่างน้อย 14 วันหลังจากสัมผัสหรือรับเชื้อไวรัส
อาการของแต่ละคนแตกต่างกัน ผู้ติดเชื้อจำนวนมากไม่มีอาการใด ๆ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อยและสามารถฟื้นตัวจนหายเองได้ อาการหลังติดเชื้อที่พบได้บ่อย คือ มีไข้ ไอแห้ง เจ็บคอ คัดจมูก หายใจลำบาก อ่อนเพลีย จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส ตาแดง ปวดหัว ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ท้องเสีย ไม่อยากอาหาร เจ็บหน้าอก สังเกตตัวเองหากรู้สึกไม่สบาย มีอาการน่าสงสัยหรือผ่านพื้นที่เสี่ยง ไม่แน่ใจว่าตนเองติดเชื้อ แนะนำให้ใช้ชุดเครื่องมือตรวจยืนยันที่ได้มาตรฐาน ควรกักตัวอยู่บ้านเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด หากอาการค่อย ๆ เป็นมากขึ้นและทรุดลงในไม่กี่วัน หากพบว่าอาการป่วยทรุดลงอย่างรวดเร็วให้รีบไปพบแพทย์ทันที
แนวทางการป้องกันการติดเชื้อโควิดควรหลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับผู้ป่วย หลีกเลี่ยงการเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยง รักษาระยะห่างจากผู้อื่น สวมหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะ ล้างมือบ่อย ๆ หรือหรือแอลกอฮอล์เจลความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ไม่ต่ำกว่า 70% อย่างน้อย 20 วินาที ระมัดระวังการสัมผัสพื้นผิวที่ใช้ร่วมกัน ไม่เอามือสัมผัสหน้า รับประทานอาหารสุกสะอาดและไม่รับประทานอาหารร่วมกัน การรับวัคซีนเมื่อได้รับสิทธิ ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันสามารถลดความรุนแรงของอาการป่วยและลดการเสียชีวิต รวมทั้งลดการแพร่กระจายของไวรัสสู่คนรอบตัวได้ดีขึ้น